ความสำคัญของถุงจัมโบ้ รองรับจีนสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์




ถุงจัมโบ้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก เพื่อสอดรับโอกาสที่จีนกำลังสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับโลก
ทำไม? ผู้ประกอบการส่งออกจึงควรเลือกใช้ถุงจัมโบ้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออก
ข้อมูลจากศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินสัดส่วนต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีปี 2567 เหลือ 13.6% โดยคาดว่าปี 2568 ต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีของไทยมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันแตะระดับ 12.8% จึงได้แนะนำแนวทางให้กับผู้ประกอบการไทย เร่งเพิ่มประสิทธิภาพด้านการขนส่ง พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ รวมถึงการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ต่อจีดีพีในอัตราเร่งด้วย (ที่มา www.ttbbank.com)
ขอบคุณภาพจาก : www.ttbbank.com
ประกอบกับการเร่งสร้างเมืองเซินเจิ้นให้กลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับโลก ของรัฐบาลจีน โดยมุ่งเน้นการขนส่งสินค้าทางอากาศและอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน ซึ่งการเพิ่มประสิทธิภาพของการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยในการขนย้ายขนส่ง เช่น ถุงจัมโบ้ หรือถุงบิ๊กแบ็ก (Big Bag) ที่ช่วยประหยัดพื้นที่จัดเก็บ ความสะดวกในการขนส่งและการปกป้องสินค้าได้ เป็นต้น
นอกจากนั้น สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ณ เมืองกวางโจว ยังได้แนะแนวทางในการปรับตัวของภาครัฐ ภาคเอกชนและผู้ประกอบการไทยให้ เร่งเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เพื่อให้สอดรับกับโอกาสที่ดีที่จีนกำลังจะสร้างศูนย์กลางโลจิสติกส์ระดับโลกที่มีความสะดวก ครบครันและทันสมัย (ที่มา https://www.bangkokbiznews.com)
ถุงจัมโบ้ (Jumbo Bag) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าได้อย่างไร?
- เพิ่มปริมาณการบรรจุและลดต้นทุนโลจิสติกส์
- Jumbo Bag สามารถบรรจุสินค้าจำนวนมากได้ (500 กก. - 2 ตันต่อถุง) ซึ่งช่วยลดจำนวนเที่ยวการขนส่ง ลดจำนวนบรรจุภัณฑ์และค่าขนส่งต่อหน่วยสินค้าได้
- ลดปริมาณการใช้พาเลทหรือบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กอื่น ๆ
- ใช้พื้นที่ขนส่งได้อย่างคุ้มค่า เพราะสามารถซ้อนกันได้ดีในตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ลดต้นทุนค่าขนส่งต่อหน่วยสินค้า
- ลดค่าใช้จ่ายด้านบรรจุภัณฑ์ เพราะการใช้ถุงจัมโบ้ช่วยลดความต้องการใช้กระสอบหรือถุงขนาดเล็กที่มีต้นทุนสูงกว่า
- เพิ่มความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า
- Jumbo Bag ที่มีหูหิ้วช่วยให้สามารถใช้เครน, โฟล์กลิฟต์ หรือใช้เครื่องจักรในการยกและเคลื่อนย้ายสินค้า อีกทั้งยังสามารถลดการใช้แรงงานคนได้อีกด้วย
- ถุง Jumbo ช่วยให้การบรรจุและการขนถ่ายสินค้าได้เร็วขึ้น เพราะลดเวลาในการบรรจุสินค้าและขนถ่ายลง ทำให้การขนส่งระหว่างประเทศทำได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
- ถุงจัมโบ้เหมาะกับการขนส่งทางเรือและทางบก เพราะสามารถใช้ได้ทั้งการขนส่งทางเรือ ทางรถไฟและทางรถบรรทุก
- ประหยัดพื้นที่ในการขนส่ง
- Jumbo Bag มีความยืดหยุ่นในการวางซ้อนกัน ทำให้สามารถใช้พื้นที่ในตู้คอนเทนเนอร์หรือรถบรรทุกได้อย่างคุ้มค่า
- ลดช่องว่างระหว่างบรรจุภัณฑ์ จึงช่วยลดการสูญเสียพื้นที่ระหว่างการจัดเก็บและขนส่งได้ นั่นเอง
- ป้องกันความเสียหายของสินค้า ลดการสูญเสียทรัพยากรและต้นทุนการผลิต
- ถุงจัมโบ้ ส่วนใหญ่จะผลิตจากวัสดุที่ทนทาน เช่น ทำจากโพลีโพรพิลีน (PP) ที่แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี นอกจากจะสามารถป้องกันการฉีกขาดได้แล้ว ยังช่วยป้องกันความชื้น ฝุ่นและแสงแดด ซึ่งช่วยรักษาคุณภาพของสินค้าอีกทางหนึ่ง
- Jumbo Bag แบบมีเสริมซับใน (Liner) จะสามารถช่วยป้องกันสินค้าเสียหาย อีกทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่น ความชื้นและแมลงระหว่างขนส่งได้เป็นอย่างดี
- ถุงจัมโบ้ ที่มีคุณภาพได้มาตรฐานจะช่วยลดการสูญเสียสินค้า (Product Loss) จากปัญหาสินค้ารั่วไหลหรือเสียหายในระหว่างการขนส่งได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับบรรจุภัณฑ์อื่น เช่น กระสอบเล็กหรือกล่องกระดาษ
- รองรับสินค้าได้หลากหลายประเภท Jumbo Bag สามารถใช้บรรจุสินค้าหลายประเภทที่ส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น
- สินค้าเกษตร : ข้าว น้ำตาล แป้ง อาหารสัตว์
- สินค้าอุตสาหกรรม : เม็ดพลาสติก ปูนซีเมนต์ แร่ เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์
- สินค้าที่เป็นผงหรือเม็ดเล็ก : สามารถออกแบบพิเศษให้มีวาล์วเติม-ระบายเพื่อกันความชื้น หรือช่วยให้บรรจุและขนถ่ายสินค้าระหว่างการขนส่งได้ง่ายขึ้น
- เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานสากล
- ถุงจัมโบ้ สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำหรือนำไปรีไซเคิลได้ จึงช่วยลดขยะพลาสติกหรือวัสดุบรรจุภัณฑ์อื่นๆ ที่สิ้นเปลืองมากกว่าที่และเป็นมลพิษกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญคือช่วยให้ธุรกิจของคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม
- ช่วยให้สินค้าของคุณผ่านมาตรฐานการขนส่งระหว่างประเทศ เพราะ Jumbo Bag สามารถผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐาน เช่น ISO, UN Certified Bags สำหรับสินค้าที่เป็นอันตราย เป็นต้น
นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สำคัญอีกหลายประการ ได้แก่
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ
- การเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสม ซึ่งควรเลือกวิธีที่สมดุลระหว่างต้นทุนและความเร็ว เช่น
- ขนส่งทางเรือ – เหมาะกับสินค้าจำนวนมาก ต้นทุนต่ำ แต่ใช้เวลานาน
- ขนส่งทางอากาศ – รวดเร็ว เหมาะกับสินค้ามูลค่าสูงหรือต้องการความรวดเร็ว แต่มีค่าใช้จ่ายสูง
- ขนส่งทางรถไฟ/รถบรรทุก – ใช้สำหรับส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง เช่น อาเซียน จีน
- ขนส่งแบบ Multimodal – ผสมผสานหลายวิธี เช่น รถบรรทุก + เรือ หรือ เครื่องบิน + รถไฟ
- การบรรจุสินค้าให้มีประสิทธิภาพ เพราะการบรรจุที่ดีช่วยลดความเสียหาย และลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งได้ เช่น
- ใช้บรรจุภัณฑ์ที่ทนทาน เช่น ถุงจัมโบ้ (Jumbo Bag) สำหรับสินค้าปริมาณมาก
- ใช้พาเลท (Palletizing) เพื่อให้ขนย้ายง่ายและลดความเสียหาย
- ลดพื้นที่ว่างในตู้คอนเทนเนอร์ ด้วยเทคนิคการจัดเรียง เช่น Stacking หรือ Block Stowing
- การใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ ช่วยลดเวลาและความผิดพลาดในการขนส่งได้ เช่น
- GPS และ IoT Tracking – ติดตามพิกัดและสภาพสินค้าตลอดการขนส่ง
- Warehouse Management System (WMS) – จัดการคลังสินค้าให้มีประสิทธิภาพ
- AI และ Big Data Analytics – คาดการณ์ปัญหา เช่น ภาวะขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
- การใช้ระบบเอกสารและพิธีการศุลกากรแบบดิจิตอล เพื่อช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อน ช่วยให้สินค้าผ่านด่านศุลกากรได้เร็วขึ้น
- ใช้ e-Freight และ e-Documents เพื่อลดเวลาการตรวจสอบ
- ศึกษา มาตรฐานการนำเข้า-ส่งออกของแต่ละประเทศ เพื่อลดความล่าช้า
- ใช้บริการ Customs Broker หรือ ตัวแทนพิธีการศุลกากร เพื่อช่วยดำเนินเอกสารให้รวดเร็ว
- การเลือกพันธมิตรขนส่งที่เชื่อถือได้ เพราะการมีพันธมิตรที่ดีช่วยให้ขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยง
- เปรียบเทียบราคาจาก Freight Forwarder หลายราย เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ดีที่สุด
- เลือกผู้ให้บริการที่มี Network กว้างขวางและมีชื่อเสียง
- ตรวจสอบความสามารถในการจัดการ ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ล่าช้า หรือ ภัยพิบัติ
- การบริหารต้นทุนขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้นทุนขนส่งที่ต่ำลงช่วยให้ธุรกิจทำกำไรได้มากขึ้น
- วางแผนการส่งล่วงหน้า (Shipment Planning) เพื่อใช้วิธีที่คุ้มค่าที่สุด
- ใช้ Consolidation Shipping รวมสินค้าหลายรายการส่งไปพร้อมกัน เพื่อลดค่าใช้จ่าย
- เจรจาสัญญาขนส่งระยะยาวกับผู้ให้บริการเพื่อลดต้นทุน
- การลดความเสี่ยงและจัดการปัญหาในการขนส่ง การบริหารความเสี่ยงจะช่วยให้การส่งออกมีความราบรื่นและปลอดภัย เช่น
- ทำประกันสินค้า (Cargo Insurance) ป้องกันความเสียหายระหว่างขนส่ง
- มีแผนสำรอง (Backup Plan) หากเกิดปัญหาการล่าช้าหรืออุบัติเหตุ
- ใช้ Incoterms (เงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ) ที่เหมาะสม เช่น FOB, CIF, DDP เพื่อลดภาระความรับผิดชอบ
การใช้ถุงจัมโบ้ (Jumbo Bag) ช่วยให้การส่งออกสินค้าระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้นในด้าน ต้นทุนขนส่ง ความสะดวกในการขนถ่ายสินค้า ความปลอดภัยของสินค้า รวมถึงการรองรับมาตรฐานสากล ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้ ทำให้เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมที่ต้องการบรรจุและขนส่งสินค้าปริมาณมาก
นอกจากนั้นแล้ว เพื่อให้การส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลกได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ประกอบการก็ควรเลือกวิธีขนส่งที่เหมาะสม เช่น การใช้เทคนิคการบรรจุสินค้าให้มีประสิทธิภาพ, การนำเทคโนโลยีมาช่วยบริหารจัดการ, ลดความซับซ้อนของเอกสารและพิธีการศุลกากร, การเลือกผู้ให้บริการขนส่งที่เชื่อถือได้, การควบคุมต้นทุนขนส่งให้มีประสิทธิภาพ และการจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันความเสียหาย อย่างการใช้ถุงจัมโบ้ (Jumbo Bag) เป็นต้น การปรับปรุงทุกปัจจัยทั้งหมดนี้ จะช่วยให้ธุรกิจส่งออกสินค้าระหว่างประเทศได้เร็วขึ้น ต้นทุนต่ำและมีความปลอดภัยมากขึ้น
หากคุณกำลังมองหาถุง Jumbo Bag ที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสำหรับการใช้ งานในธุรกิจน้ำตาลหรืออุตสาหกรรมการส่งออกสินค้าอื่นๆ บริษัท วาวา แพค จำกัด เรารับผลิตถุงจัมโบ้หรือกระสอบสำหรับใส่บรรจุภัณฑ์ รวมถึงถุงสลิงถุงกระสอบพลาสติก, และถุงจัมโบ้ ซึ่งเราพร้อมให้บริการที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความใส่ใจให้กับลูกค้าทุกท่าน เพราะการบริการถือเป็นภารกิจสำคัญ…เราจึงมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายทั้งในและต่างประเทศเตรียมพร้อมให้บริการทางโทรศัพท์, โทรสาร, อีเมลและเครื่องมือสื่อสาร อื่นๆ ตลอด 24 ชั่วโมง
ติดต่อบริษัท วาวา แพค จำกัด
LINE@ : @vavapack
อีเมล : info@vavapack.com
เว็บไซต์ : www.vavapack.com
โทร. : +66(0) 44 412 747